วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เสียดายแย่ถ้าชีวิตนี้ไม่ได้ไปเนปาล


                                  แบกเป้ตามใจฉัน สไตล์ดอกไม้ทะเลทราย

                    เนปาล พย ค่ะ ช่วง 20-27 พย 55



เดินทางคนเดียวค่ะ จะแวะแค่ 2 เมือง คือ ลุมพินี กับที่กาฐมันดุ เนื่องด้วยเวลาจำกัด เลยยังไม่ไปโพคารา ซึ่งโพคารา คงต้องใช้เวลาหลายวันตะหาก เป็นทริปหน้า ถึงจะคุ้ม 

ตอนนี้จองของหางแดงไปแล้วค่ะ 22-27 พย 55 นี้เอง แต่ต้องไปต่อเครื่องที่ กัวลา รวมค่าตั๋วแล้วอยู่ที่ 13000++ ค่ะ 


ไปลุมพินี แลว้ก้อกาฐมันดุ ค่ะ ตั้งงบไว้ที่ 25000++ ค่ะ 

 มีเพื่อนเพิ่มแล้วค่ะ อีก 1 คน เคยไปทริปลาว หลวงพระบางด้วยกัน ถ้าใครสนใจก้อไปด้วยกันได้นะคะ จ่ายใครจ่ายมัน ถ้าแชร์กันก้อเป็นพวกค่ารถ ค่าห้อง ค่ากิน ประมาณนี้ เตรียมพร้อมแล้วนคะ สำหรับเนปาล  อย่างน้อยการท่องเที่ยวแบบอิสระ ยังไงก้อคงวนมาเจอเนปาลจนได้ ถึงจะต้องไปต่อเครื่องที่กัวลาก้อเถอะ 


แต่ถ้าไม่นับรวมเอาศรัทธาเข้าไป .........เนปาลก้อยังน่าค้นหา......อยู่ดี



หลังจากจองตั๋วแล้ว ก้อเริ่มต้นด้วยการทำวีซ่า แต่ตัวเราอยู่พิดโลก เลยส่งเอกสารทางไปรษณีย์ ไปให้เพื่อนที่กรุงเทพ ทำให้ โดยเตรียมเอกสารดังนี้ 
1 ใบคำขอ ปริ้นท์จากเนต
2พาสปอร์ต ฉบับจริง
3 สำเนาตัวถ่ายพาสปอร์ต
4 รูปถ่าย 2 รูป 
5 เงิน ประมาณ 857 บาท ไม่แน่ใจ โดยประมาณ 
แล้วจองที่พักที่นาร์การ์กอต เพื่อไปดูวิวภูเขาหิมาลัย กับหารถเพื่อไปลุมพินี อิอิอิ



เริ่มต้นด้วยการนั่งรถบัสจากพิดโลกไปลงดอนเมืองค่ะ ไปเนปาลครั้งนี้ต้องมีการต่อเครื่องจากมาเลเซีย ได้ไฟลท์ สองทุ่ม จากดอนเมืองไปมาเล



สหายเก่าจากทริปลาว หลวงพระบาง คุณยา มาร่วมทางกับเราเช่นเคย ทำให้การเดินทางอันโดดเดี่ยวยาวนานของเรา มีสีสันขึ้นเยอะ เรานัดพบกันที่ดอนเมือง เพื่อจะไปต่อเครื่องกัวลาลัมเปอร์ไปยัง เนปาล สนามบินตรีภูวัน กาฐมันดุ ในวันที่ ๒๒ พย ตอน ๕ โมงเช้า เวลา มาเล


อ่ะ โอเค สำหรับ แอร์บัส ลำใหม่เอี่ยม AK อะไรลืมแล้ว แต่โอมาก บินวันนี้ คนเยอะมาก ทั้งฝรั่ง มั้งชาวเนปาล ทั้งเรา อิอิอิอิ ตื่นเต้นแปลกๆ เพราะใจไปจดจ่ออยู่กับเทือกเขาหิมาลัยหวังว่าฟ้าคงจะเป็นใจเปิดฟ้าให้เราได้เห็นกันชัด >>>.........



และเมื่อเข้าน่านฟ้า เนปาล ว้าววววววววว ฟ้าช่างเป็นใจอะไรเช่นนี้เราได้เห็นเทือกเขาหิมาลัย  
กันอย่างแจ่มชัด อยากจะหยุดหายใจซะให้ได้ แต่นึกถึงว่า ชีวิตนี้ต้องเก็บไว้เดินทาง อิอิอิอิ 
เลยได้แต่เก็บภาพถ่าย และความทรงจำ ที่เราคงจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต 
นับ ๑ ถึง ๓ ล้วเราไปพร้อมกันเลยนะคะ 




ถึงแล้วเนปาล สนามบินตรีภูวัน อิอิอิอิ กะลังจะถ่ายรูปตรงประตูออก อิอิอิ มันโคลงเล็กน้อย 
เลยเป็นอย่างที่เห็น แหะ แหะ 




welcome to Nepal ......................
เนปาล (Nepal) อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และน่ามาเยือนแห่งหนึ่งของภูมิภาคของทวีปเอเชีย โดยตั้งอยู่บนที่สูงทางทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีอาณาเขตติดกับแคว้นทิเบตของประเทศจีนทางตอนเหนือและทิศใต้ติดกับอินเดีย มี กรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu) เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ... 



ถึงสนามบินแล้ว เราก้อออกไปพบรถที่เรานัดมารับเพื่อจะไปขึ้นเขานากาก้อต
 เราจะพักที่นั่น ๑ คืนเพื่อชมวิว เทือกเขาหิมาลัยและเอเวอร์เรสให้จุใจ 
และให้สาสมกะอากาศที่หนาวยะเยือกไปถึงปอดถึงตับ


ถึงที่พักแล้ววว อิอิอิ เราไปถึงสนามบินบ่ายสาม ขึ้นเขามาอีก สอง ชม ถึงที่พัก อากาศยามเย็นหนาวใช้ได้ แต่วิวที่พักนี่สิ อาจจะไม่ใช่ที่ที่หรูหราที่สุด แต่มันก้อเพียงพอแล้วนะ 
ที่จะทำให้เรารู้สึกเป็นสุขและสงบ




หลังจากนั่ชมวิว จนพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า คงจะได้เวลาไปหาไรกินดีกว่า อิอิอิอิ
วันนี้ต้องลองอาหารท้องถิ่นซะหน่อย ที่พักคืนละ ๓๗ ยูเอส ของเรา มีห้องอาหารบริการ
 เราเลือกที่จะลองอาหารท้องถิ่น มากกว่าจะสนใจอาหารแบบฝรั่ง


ดาลบัท ๑ เซท ประมาณ ร้อยกว่า ก้อโอนะ มีโยเกิตร์ มีแกงกะหรี่ไก่ 
ข้าวสวย ผัดผัก และก้อผักดอง ได้ชิมสมใจละ อิอิอิ




แต่ก่อนจะเอ็นจอยอีทติ้ง เราก้อขอเลือกที่ะดื่มด่ำกับ เบียร์ท้องถิ่น ยี่ห้อ เอเวอร์เรส รสชาติดีทีเดียว ราคาบนเขาก้อ ร้อยหน่อยๆ แตต่เบียร์ไม่ต้องแช่ตู้ เพราะอากาศข้างบนก้อเย็นพอละ ไม่ต้องใช้น้ำแข็ง ก้อไม่รู้สินะ ดกไปดกมา ก้อ ๓ ขวดละ คุณยา ขอจิบเพียง ๑ แก้ว เบาๆ
 แต่เรากว่าจะรู้ตัว ก้อหมดขวดที่ ๓ เลยต้องเบรคก่อน 


 หลังจากนอนบนเขาตื่นตาตื่นใจกับวิวจากบนที่ัพัก ซึงเรา จ่ายสำหรับ รับจากสนามบิน ส่งที่พักบนนากาก้อต และกลับมากาฐมันดุในราคา ๖๐ ยูเอส เราออกจากที่่พักในตอนสายๆ แต่ก้อคุยกับเจ้าของรถว่า ขอเหมาเที่ยวต่อทั่วเมืองนาร์การ์ก้อต ในราคา ๔๐๐๐ รูปั โดยไปเมือง บักตะปรู็์ ปาทัน วัดปศุติปนาท วัดฮินดู และก้อ สถูปเจดีย์โบดะนาถ หารสองแล้วพอรับได้ เพราะขี้เกียจไปต่อรถลงเรือให้มันยุ่งยาก และเมืองแรกที่เราจะไปก้อคือ เมืองบักตะปรู์

คงไม่มีอะไรอิ่มเอมไปกว่านี้อีกแล้วว สำหรับการมาที่นี่ เมืองมรดกโลก รอให้เราไปสัมผัส 
บางครั้ง ก้อแอบคิดนะว่า โลกนี้มันไม่เคยมีเรื่องบังเอิญนั้น มันจะเป็่นจริงอย่างที่เขาว่ากันไหม ............. 
หรือที่นี่ กำลังจะขโมยลมหายใจเราไป .............อีกครั้ง


เมืองบักตะปูร์ ยังเป็น 1 ใน 7 กลุ่ม ของมรดกทางวัฒนธรรม ในเขตหุบเขากาฐมาณฑุ (Kathmandu Valley) ซึ่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้รับการยกย่องให้ เป็นมรดกโลก ในปี 1979 เนื่องจากเมืองบักตะปูร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองโบราณที่มีความเก่าแก่ และมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ และ ศิลปะวัฒนธรรมอันดีเยี่ยมนั่นเอง 

"จัตุรัสบักตะปูร์ ดูรบาร์" 
"จัตุรัสบักตะปูร์ ดูรบาร์" (Bhaktapur Durbar Square) สถานที่ท่องเที่ยวที่มี ความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองบักตะปูร์ เนื่องจากบริเวณจัตุรัสนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารและสิ่งก่อสร้างที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม รวมไปถึงสถานที่สำคัญๆของเมืองมาก มาย 


ซอยเล็กซอยน้อย ขำ ๆ มีร้านผ้า ร้านขายของฝากมากมาย ก้อเดินกันไปชิวๆ 


"วัดเนียตะโปลา"

โดยวัดแห่งนี้ถือว่าเป็นศาสนสถานที่สูงที่สุดในเนปาล มีความสูงถึง 50 เมตร มีหลังคา 5 ชั้น สร้างขึ้นเพื่อสักการะ “เทพเจ้าสิทธิลักษมี” (Siddhi Lakshmi) แต่มีเพียงพระชั้นสูง เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เห็นรูปปั้นเทพเจ้า 



สาวน้อยเนปาลี น่ารัก ไม่ตื้อขอเงินเหมือนเด็กทั่วไป เราเจอเธอบ่อยครั้ง ซึ่งจะบังเอิญหรือเปล่าก้อไม่รู้ แต่ก่อนเราจะจากเธอไป เราก้ออดไม่ได้ที่จะให้เงินเล็กน้อยเป็นรางวัลสำหรับความน่ารักของเธอ ที่นั่นเป็นประเทศที่ยากจน นับได้เป็นอันดับสามของเอเชีย ผู้คนส่วนใหญ่ค่อนข้างยากจน
 ไม่อยากจะคิดมากนะ สำหรับความไม่ยุติธรรมของโลกอันโหดร้ายใบนี้ 
และนี่คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราจะพอทำได้ กระมัง


"จัตุรัสโทมาดิ" (Taumadhi Square) อีกหนึ่งจัตุรัสที่มีชื่อเสียง และยังเป็นที่ตั้งของ 
"วัดเนียตะโปลา" (Nyataponla Temple) วัดเก่าแก่ที่มีชื่อ 
เสียงและมีอายุย้อนกลับไปราวๆ 1702 AD (ก่อนคริสต์ศักราช) 


"วัดตะเลชุ" (Taleju Temple) วัดประจำองค์พระมหากษัตริย์ ถูกสร้างขึ้นใน 1564 โดยกษัตริย์รานจิต มัลละ เนื่องจากมีความ เชื่อว่าเทพตะเลชุ คือเทพที่ปกปักรักษาองค์พระมหากษัตริย์และประเทศเนปาล แต่การเข้าชมถูกจำกัดให้ชาวฮินดูเท่านั้น


"จัตุรัสทัตตะเตรยา" (Dattatreya Square ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "วัดทัตตะเตรยา" (Dattatreya Temple)
วัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ยักษ์ มัลละ (King Yaksha Malla) เป็นวัดขนาดใหญ่ 3 ชั้น 
เชื่อกันว่าสร้างจากต้นไม้ต้นเดียวเช่นเดียวกับวัดสำคัญอื่นในเนปาล แต่สิ่งที่โดดเด่นและไม่พลาดชม คือ หน้าต่างนกยูง ซึ่งเป็นหน้าต่างที่แกะสลักเป็นรูปนกยูงลำแพนอย่างละเอียดงดงาม.... 



ของจริงที่นี่ สวยงาม ลึกลับและมีมนต์ขลังมากว่าที่เห็นในภาพมากมายนัก 
และมันก้อมากพอที่เราโหยหา อยากจะกลับไปอีกสักครั้งงงงงงง



ที่อาบน้ำของกษัตริญ์และราชวงค์สมัยโน้นนนนนนนนนนนนนนนนนนน อิอิอิ



ภักตะปูร์ (Bhaktapur) แปลว่าเมืองแห่งความภักดี ภักตะปูร์เป็นเมืองโบราณที่เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้งเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะรายล้อมไปด้วยวัด วัง ศาสนสถานโบราณ
 สลับกับบ้านเรือนของผู้คนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิม



การถ่ายภาพของเรา อาจจะไม่ได้สวยที่สุด การเล่าเรื่องของเรา อาจจะไม่ได้ดีหรือสนุกที่สุด แต่มันก้อเป็นเพียงการเล่าเรื่องของคนๆ นึง ตอนแรกจะไปทำบล๊อค แต่ด้วยความเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ 
ติดขี้เกียจ ประวัติศาสตร์อะไร ก้อไม่ค่อยได้จำมากนัก ในหัว บางข้อมูลก้อยืมเขามา เพื่ออธิบายบ้าง อิอิอิอิ แต่มุมมองอาจจะแปลก และแตกต่างกันไป ผิดถูกไป ก้อขออภัย นักเดินทางท่านๆ อื่นด้วยค่ะ แต่สำหรับมือใหม่ นักเดินทางอย่างเรา ก้ออาจจะช่วยเป็นแรง ผลัก ให้สำหรับคนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ 
กับการเดินทางอันโดดเดี่ยวลำพัง คงจะได้ไอเดียกันบ้างนะคะ การท่องเที่ยว แค่ได้เห็นผู้คน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และการได้ทำอะไรที่เราไม่เคยทำ เห็นป่ะ ว่ามันสุดยอดแค่ไหน ดูแล้วอ่านแล้ว ก้อจงรีบออกไปคว้ามันนะคะ ความฝันของเรา มันอยู่แค่ปลายนิ้วมือเรานี่เอง



และจบสำหรับการไปเยือนเมืองแห่งความภักดี บักตะปูร์ หรือ ภักตะปูร์ อิอิอิ ไกด์หนุ่มน้อยนักศึกษาในราคา ๕๐๐ รูปี ก้อประมาณ ร้อยกว่าบาทมั้ง เอา ๒,๗ หาร เอา เอง ก้อช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาเด็กๆ เค้่่า ๕๕๕๕๕๕๕ สาบานได้ว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลย จริงๆ อิอิอิ สำหรับที่เมืองนี้ มีค่าบัตรผ่านประตูสำหรับ ชาวต่างชาติ น่ารักๆ อย่างเรา ท่านละ ๑๑๐๐ รูปี แต่ถ้าเป็นชาวจีน หรือคนเนปาลีเอง ๑๐๐ รูปี เอง เปงไง ยุติธรรม มากมาย อ่าาาา และถัดจากนี้เราจะไปต่อกันที่เมืองปาทัน หรือเมือง ลลิตปูร์ ที่แปลว่าเมืองแห่งความรัก ว้าว ว้าว ว้าว



อ้าวออกจากบักตะปูร์ ไปกันต่อที่เมือปาทันกันเถอะ ว่าแล้วคนขับรถก้อพาเราซิ่งฝ่าดงควัน ฝุ่น 
และเสียงแตร แห่ม แห่ม ชอบจริงๆ เมืองนี้ กดแตรกันกระจาย ๕๕๕๕๕ 



ระหว่างไป เจอรถเมล์ท้องถิ่น อิอิอิ ยังไม่ได้ลองขึ้นสักที กะไปคราวหน้าจะใช้บริการท้องถิ่นมั่่งแล้วล่ะ ท่าทางจะมัน แต่อย่าลืมผ้าหรือหน้าการกันฝุ่นไว้ละ เพราะเมืองกาฐมันดุกะลังพัฒนา สร้างอะไรกันนักหนาก้อไม่รุ แต่เหมือนจะสร้างไม่้เสร็จกันสักที ฝุ่นเลยบานเต็มท้องถนน ก้อทนๆ ดม ๆ สำลักบ้างไรบ้างกันไป แต่ก้ออีกอ่ะน่ะ ร่างกายที่คิดว่าจะไม่ทนทาน ดันอึดจิงไรจิง ซะนี่ แต่บอกไ้ด้ ว่าคุ้มแล้วก้อมันส์มาก ไปเองก้อดีงี้แหละ ทุลักทุเลหน่อย ได้ใช้เงินอย่างคุ้มค่าด้วย



กฤษณามันดีร์ 
วัดนี้สร้างถวายพระกฤษณะ โดยกษัตริย์สิทธินรสิงห์ มัลละ ในศตวรรษที่ 17 รอบๆวัดมีการแกะสลักเรื่องราวจากมหาภารตะและรามเกียรต์ วัดนี้มีลักษณะเสาโปร่งเป็นอิทธิพลสถาปัตยกรรมโมกุลของอินเดีย เป็นสถูปทรงศิขร

ปาตันได้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือแม่น้ำบาคมาตีทางใต้ของนครกาฐมาณฑุ และเป็นศูนย์กลางงานวิจิตรศิลป์และเมืองพุทธศาสนาที่เก่าแก่ เมืองปาตันได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าลลิตปุร “เมืองอันงดงาม” 
ได้มีการสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อศตวรรษที่ 3 ในยุคของการก่อสร้างที่สำคัญของเมืองปาตันนั้นอยู่ในสมัยราชวงศ์มัลละ ปัจจุบันนั้นปาตันได้มี บะฮาล อยู่ไม่น้อยกว่า 136 แห่ง มีวัดสำคัญ 55 แห่ง จึงถือว่าเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของชาวเนวาร์ พระราชวังปาตัน เป็นผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองแบบเนวาร์



เมืองปาทัน เสียค่าผ่านประตู อีกคน ละ ๕๐๐ รูปี อืมมมม ตลอดอ่าาา
 แต่ก้อเมืองมรดกโลกนะ ยอมจ้าาาาาา

และนี่คือ โจก หรือลานหลักสามแห่งซึ่งเปิดสู่จัตุรัส ลานที่ขนาดเล็กที่สุดคือสุนดารีโจก ทางลานนั้นมี ตุชาหิติ ซึ่งเป็นที่สรงน้ำ รอบๆ โจกนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารวัดมีหน้าต่างที่สร้างขึ้นด้วยโลหะและงาช้างแกะสลักสวยงาม ลานที่เก่าแก่ที่สุดคือ มุนโจก สร้างขึ้นในปี 1666 ให้แก่ศรีนิวศามัลละ ตำหนักรายล้อมรอบลานโดยมีเทวศถานสีทองขนาดเล็กคือ บิเดียมันดีร์ ตั้งอยู่ตรงกลางส่วนเทวาลัยฑเลจูมีเทวรูปคู่อารักษ์คือ แม่คงคาบนเต่าและจมุนาบนจระเข้ ซึ่งเป็นงานสัมฤทธิ์ฝีมือละเอียดงดงาม เกซาบโจก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ มี 3 ชั้น ตรงกลางมีรูปเคารพของเทพวิษณุ




จัยสินเดวัล
เป็นวิหารแปดเหลี่ยมสร้างด้วยหินตามแบบศิขรโดยธิดาของกษัตริย์องค์หนึ่งในศตวรรษที่ 18 เพื่อรำลึกถึงมเหสีทั้งแปดองค์ที่เดินเข้าสู่กองไฟเพื่อที่เผาตัวเองไปพร้อมกับพระราชา





เมืองปาตันนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องของ บะฮาลกับบะฮิล และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดได้แก่ ควาบะฮาล หรือ “วัดทอง” ตัววัดนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ หลังคาสามชั้น ส่วนหน้ามุขนั้นจะประดับลวดลายเป็นชีวประวัติของพระพุทธองค์ และถ้าขึ้นบันไดไม้ไปนั้นจะเป็นศาลซึ่งประดับแบบทิเบต จันทันวาดด้วย มันตรา ศักสิทธิ์ ในส่วนถัดไปนั้นเป็นวัดกุมเบชวาร์ ซึ่งได้ตั้งอยู่ในย่านชนบท วัดกุมเบชวาร์
 วัดนยาตาโปลาในบักตะปุร และวัดปัญจมุคีหนุมานในพระราชวังหนุมานโดกา เป็นวัดเพียงสามแห่งในหุบเขาที่มีหลังคาห้าชั้น และวัดแห่งนี้ได้สร้างขึ้นในปี1392ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดใน
เมืองปาตัน และวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อที่จะอุทิศให้แก่พระศิวะในอวตารของ “เทพแห่งคณโฑน้ำ”ในช่วงเทศกาลสมโภช เช่นในช่วงจไนปุรนิมาจะมีผู้แสวงบุญนับพันหลั่งไหลมาสักการบูชาศิวลึงค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่กลางสระสถูปอโศกจัดเป็นหนึ่งในสี่สถูปที่น่าประทับใจของเมือง


ภายในบริเวณวัดทอง ที่นี่ห้ามใส่อะไรที่เป็นหนังเข้าไปนะคะ เข็มขัด รองเท้าประเป๋า ต้องฝากไว้ด้านนอก เพราะเป็น ฮินดูเขากลัวจะเป็นอะไรที่ทำมาจากหนังวัว อะไรแบบนั้น ที่มีเสียค่่าเข้าด้วย 
ประมาณ ๑๐๐ รูปี ไม่แน่ใจ ยังไม่ได้ดูโพย อิอิอิ ไว้ท้ายๆ เด้อ 



 เราใช้เวลากับที่นี่พอสมควร เมืองปาทัน แมืองแห่งความรัก AND I LOVE YOU NEPAL hehehehheh อ่ะนะ ถัดจากนี้ เราจะไปต่อที่วัดฮินดู ไปดูเขาเผาศพกันสด ๆ แหะ แหะ 



เอ้า สตาร์ทรถ เดินทางกันต่อ ไปที่ วัดปศุปตินาถ
วัดฮินดู ซึ่งไม่ไกลเท่าไรจากที่ท่องเที่ยวในแต่ละแห่ง

วัดปศุปตินาถ
สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อพุทธศตวรรษที่ 5 แต่ได้ถูกทำลายโดยชาวมุสลิม หลังจากนั้น
พระเจ้าภูบาลสิงห์มัลละได้สร้างขึ้นใหม่ในพุทธศตวรรษที่ 14 เพื่อถวายแด่พระศิวะในปางปศุปตินาถในปางเทพเจ้าแห่งสัตว์ วัดแห่งนี้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์มีเทศกาลฉลองวันเกิดของพระศิวะที่เรียกกันว่าศิวะราตรี ผู้ที่เลื่อมใสนั้นจะมาร่วมพีธี และในช่วงอื่นนั้นก็จะมีผู้คนมากราบไหว้พระศิวะ
ที่ปศุตินาถตลอดปี โดยจะมีรูปของ ลิงกัม (ลึงค์) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ในปางอวตารปศุปตินาถ วิหารหลักสร้างโดยกษัตริย์สุภาสพาเดวาและบูรณะโดยคงคาเทวี ฝั่งตะวันออกของวัด
มีแม่น้ำบักมาตีไหลผ่าน วัดนี้เป็นสถานที่เผาศพของชาวเนปาล แม้แต่กษัตรยิ์ก็ยังนำพระศพมาเผาที่นี่ เพราะเชื่อว่าแม่น้ำบักมาตีจะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดีย ซึ่งชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดนี้อยู่ห่างจากนครกาฐมาณฑุไปทางตะวันออกประมาณ 5 กม. วัดนี้ผู้ที่ไม่ได้นับถือฮินดูจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าบริเวณวัด วิวดีที่สุดจะเป็นในส่วนของลานบนเนินที่ปกคลุมด้วยแมกไม้ตรงข้ามกับแม่น้ำ อีกเทศกาลหนึ่งที่ทำกันใกล้กับวัดปศุปตินาถนั้นเรียกว่า เทศกาลตีจ ซึ่งเป็นเทศกาลสำหรับสตรีชาวเนปาล จะมีในช่วงสามวันระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน 
สตีชาวเนปาลนั้นจะสวมสาหรี่สีแดงและทอง จะร้องเพลงรอบๆ ปศุปตินาถ 




 เผาศพกันสดๆ แหะ แหะ กลิ่นยังกะเนื้อย่าง วันที่เราไปมี ๓ ถึง ๔ ศพแน่ะ เผาศพเสร็จก้อเขี่ยลงน้ำไป ค่อนข้างสกปรกนะ น้ำอ่ะ เราไม่ค่อยชอบเท่าไร ลิงก้อเยอะด้วย ต้องระวังข้าวของให้ดี ไกด์จอมตื้อก้อเยอะ แนะนำว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินร่ำไร พยายามอย่าพูดหรือสบตากับพวกไกด์ท้องถิ่นหริอ 
คนขาขยของไม่งั้นจะโดนตื้อไม่เลิก แต่ดีว่าเราหน้าโหด เลยไม่ค่อยมีคนมาวุ่นวายเท่าไร อิอิอิอิ

เราใช้เวลากับที่นี่ไม่นานเท่าไร เพราะไม่ค่อยปลื้มกับการเผานัก อิอิอิอิ หิว เอ้ย ไม่ใช่ หดหู่พิกล 
แถมอากาศตรงนี้ก้อร้อนอึดอัดด้วย เลยไปต่อที่อื่นดีกว่า




ออกจากวัดปศุปตินาถ เราไปต่อกันที่ เจดีย์โพธินาถ กันต่อ และที่นั่นก้อได้เติมเต็มในสิ่งที่เราต้องการพอดี คงเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ที่เราจะมีได้ในชีวิตแค่ครั้งเดียว นั่นคือการได้ร่วมอัญเชิญพระพุทธเจ้าน้อย แห่ไปรอบเจดีย์โพธินาถ ร่วมกับคณะของคุณหญิงสุดารัตน์ และองค์ดาไลลามะที่มาเป็นประธานในการอัญเชิญครั้งนี้ 


หลังจากคนขับรถหาที่จอดเรียบร้อยแล้ว เราก้อเดินออกซอยไปเล็กน้อยเพื่อไปยังเจดีย์โพธินาถ

ในที่สุด ที่เราเคยได้อธิษฐานไว้ เราก้อได้มายืนในที่ที่เราอยากมา มีความสุขมาก ๆๆๆ



เมื่อเดินวนรอบโบสถ์ไปได้สักหน่อย เราก้อได้พบกับคณะของคุณหญิงสุดารัตน์ กำลังตั้งขบวนอัญเชิญพระพุทธเจ้าน้อย ไปรอบโบสถ์เพื่อทำการสัการะ โดยคณะของคุณหญิง มีคุณแม่ชีศันสนีย์มาด้วย ตัวจริงของแต่ละท่าน สวย งดงามมาก และคงจะมีแต่เรา กับคุณยา ที่เป็้นคนไทยเพียงสองคน 
ที่แบกเป้ข้ามน้ำข้ามฟ้าติดตามไปงานบุญในครั้งนี้ด้วย และก้อคงเป็นเพียง สองคนเท่านั้นในงานอัญเชิญนี้ เพราะทั้งคณะเหมาลำ แอร์เอเชียมากัน แต่งขาวกันหมด มีเราสินะ ลายมาเชียว 



เราวนรอบโบสถ์กัน ๑ รอบ หลังจากนั้นก้อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก มีความสุขอย่างหาที่สุดไม่ได้เลยวันนี้ ๒๓ พย ๕๕ แล้วก้อไปจุดเทียนบูชา เพื่อขอพรตามที่ต้องการ เราขอไปหลายข้ออยู่ นะ แต่เป็นความลับจ๊ะ ๕๕๕๕๕๕๕ แล้วหลังจากนี้เราก้อจะไปทอดกฐินพระราชทานในวันที่ ๒๕ พย ๕๕ กับคณะของคุณหญิงต่อ กฐินพระราชทานของในหลวง ที่สุดในชีวิตเราแล้วล่ะ เนปาล



ก่อนจะไปกันถึงลุมพินี เรามาดูประวัติของเจดีย์โพธินาถกันก่อน 
ตั้งอยู่บริเวณที่ราบทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งห่างจากกาฐมาณฑุเพียง 5 กม. โพธินาถนั้นเป็นชุมชนชาวทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล มีประชากรชาวฑิเบตประมาณ 16,000 คน ซึ่งเข้ามาตั้งบ้านเรือนตั้งแต่ปี 1959 ซึ่ง ทำให้โพธินาถนั้นเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธแบบทิเบตซึ่งอยู่นอกทิเบตที่มีความเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่งในโลกองค์สถูปทรงกลมสีขาวใหญ่ประดับยอดด้วยภาพดวงตาเห็นธรรมสีแดง เหลือง และสีน้ำเงินของพระพุทธเจ้า รอบฐานนั้นมีพระพุทธรูป 108 องค์ ซุ้มคูหาที่ตั้งกงล้อภาวนา 147 คูหา เสารอบสถูปนั้นมีการแขวนธงภาวนา ช่วงเทศกาลปีใหม่ราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม เป็นเวลาที่ชาวทิเบตจะมาชุมนุมกันในเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ และภาพเหมือนขององค์ดะไลลามะ จะได้รับการอัญเชิญนำขบวนพิธีภายใต้ร่มฉัตรที่ทำมาจากผ้าไหม เป็นเทศกาลแห่งความสุขที่สนุกสนานน่าชมที่สุดเทศกาลหนึ่ง 



เสร็จจากสถูปโบดะนาถ เราก้อให้รถมาส่งที่ โรงแรม พีคพ้อยท์ ในย่านทาเมล ในราคาห้องละ 5-600++ บาท จองผ่านอโกด้า อยู่ในย่านทาเมล แ่ต่อยู่ในซอยที่ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านนัก ต้องเดินออกมาเล็กน้อย จึงจะพบกับถนนคนเดิน แต่ขอบอกว่า ดีกว่าที่พักในย่านที่คนเยอะๆ อีก เพราะห้องก้อดีกว่า ไวไฟแรงกว่า พนักงานน่ารักกว่า ๕๕๕๕๕๕ ผู้จัดการหนุ่มไฟแรง 
จบมาจากสิงค์โปร ให้การดูแลเป็นอย่างดี น่าร๊ากกก อ่าา


สภาพห้องพัก แต่ที่เห็นรกๆ นี่คือฝีมือเราเองจ๊ะ แหะ แหะ และพอจะเดากันออกไหม ว่าเตียงไหนเปงของเรา และอันไหนเปงของคุณยา ๕๕๕๕๕ เดาไม่ถูกกันแน่เลยยย อิอิอิ



เราพักกันที่พีคพ้อยหนึ่งคืน หลับกันอย่างมีความสุข ถึงจะมีบางช่วงที่เขาดับไฟ แต่ก้อไม่มีปัญหาอะไร ตื่นมาเช้าวันที่ ๒๔ พย ซึ่งวันนี้เราจะไปตลุยชิวๆ ย่านทาเมล กันสักหน่อย ก่อนจะเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ที่นี่ตอนบ่าย เพราะเราจะไปลุมพินีตอนเย็น ๒๔ เพื่อไปถึงลุมพินีเช้า ๒๕ เพื่อให้ทันร่วมงานกฐินพระราชทานของในหลวงที่ลุมพินี เราให้พนักงานจองตั๋วรถบัสให้ไปลุมพินี ทั้งไปและกลับ ในราคาคนละ ๘๐๐ บาทไทย โดยประมาณ 



ก่อนอื่นก้อหาร้านแลกเงินรูปีเพิ่มสักหน่อย เราตื่นกินอาหารเช้าที่โรงแรม 
สายก้อเดินเล่นย่านทาเมล ดูทำเล ก่อน อิอิอิ




เราก้อเดินสำรวจกันมาเรื่อย ซื้อของฝากกันเล้กน้อย ประเภท กระเป๋าพวงกุญแจ
 ต่อแล้วต่ออีก ถูกใจก้อเอา 



เข้าไปดูผ้าไหม แคชเมียร์ สวยๆ คนขายก้อได้ใจเหลือเกิน คุยไปคุยมา ดันหลีเราซะงั้น เกิดมาสเป็คแขก นี่ต้องทำใจป่ะ เฮ้ออออออ โดนลวนลามตลอด ถึงว่า เจองูกะแขก ให้ตีแขกก่อน ๕๕๕๕๕๕



แล้วเราก้อกลับไปเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเพื่อไปโรงแรมใหม่ที่เราตกลงกันว่า ลองเลือกนอนหลายๆที่ดูจะได้มีประสบการณ์เรื่องโรงแรมต่างกันไป โดยเหมาแท้กซี่เนปาลให้ไปส่งโรงแรมเพื่อขอฝากกระเป๋าไว้ ๑ คืน ก่อนที่จะกลับมาพักจริง เพราะไปลุมพินี เราจะเอาแค่ของที่จำเป้นไปเท่านั้น และให้แท้กซี่พาไปเที่ยว ดูบาร์ สแควร์ก่อนในกาฐมันดุ ไปดูวังกุมารี และพระราชวังเก่า ๆ สักนิดหน่อย ก่อนที่จะไปขึ้นรถบัสที่เราจองตั๋วไว้ไปลุมพินีกันตอน ๖ โมงเย็น



ฝากกระเป๋าเรียบร้อย เราก้อมาที่ดูบาว์สแคว์ แล้วเป็นไงล่ะ ก้อบอกแล้ว ว่า จะไม่ตกหลุมรักเนปาลได้ไง 

ชีวิตนี้คงเสียดายแย่ ถ้าไม่ได้มาเนปาลลลลลลลลลลลลล


จัตุรัสกาฐมัณฑู ดูร์บาร์ หรือ พระราชวังหนุมานโดก้า อาคารแบบยุโรปสีขาว มีหอสูง 9 ชั้น ที่เรียกว่า หอพสันตปุร์ พระราชวังนี้ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญของราชวงศ์ และพระมหากษัตริย์ เนปาล ออกเสด็จมาชมการสวนสนามด้านหน้าพระราชวัง มีหนุมานโธกา รูปปั้นหนุมานตั้งบนแท่นสูง ทำหน้าที่ทวารบาล รักษาประตูทางเข้าพระราชวัง ชมบ้านกุมารี ที่พำนักของเทพธิดามีชีวิตของชาวเนปาลตัวแทนแห่งเทพบริสุทธิ์ ที่ถือกำเนิดในโลกมนุษย์ ตัวบ้านกุมารีเป็นตึกไม้ 3 ชั้น แกะสลักไว้ อย่างสวยงาม ชมกาฐมณฑป อาคารไม้ที่เก่าแก่ทีสุดเป็นต้นกำเนิดของชื่อเมืองกาฐมัณฑู
ชมสิ่งก่อสร้างของราชวงศ์มัลละ ดั่งต่อไปนี้ 
1.วสันต์ปุรโชค    2.หอวสันตปูร์    3.พระราชวังกุมารี     4.กาษฐมณฑป หรือ เรือนไม้
 5.หนุมาโธคา    6.วัดตะเลจู        7. จัตุรัสราชวังกาฐมัณฑู ดูร์บาร์ สแควร์




แต่ก่อนอื่นก้อเสียค่าเข้าก่อนนะ แต่นะมาเนปาลนี่เราถึงเพิ่งรู้ว่า ชื่อของเราสร้างเพื่อนใหม่ๆได้เยอะเลยทีเดียว เพราะศกุนตลา เป็นชื่อของคนเนปาลีเหมือนกัน คนขายตั๋วเรียกเราด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า ศกุนตลา ๕๕๕๕๕ กลายเป็นคนดังเลยเรา อิอิอิอิ จ่ายค่าตั๋วแล้ว เราก้อให้เขาปั้มนะว่า เราจะใช้เวลาในกาฐมันดุถึงเมื่อไร เขาจะปั้มวันหมดเขตให้เรา ทำให้เรามาที่นี่ได้เรื่อยๆ เท่าที่เราต้องการ แต่เราแวะที่นี่แป้บนึงเพื่อดูกุมารีเป็นขวัญตา และจะกลับมาอีกหลังจากกลับจากลุมพินี อิอิอิ ไปรอดูกุมารี แต่ไม่ได้ถ่ายรูป เขาห้ามถ่าย แต่โชคดีนะ เพราะนกมันดันขี้ใส่หัวเรา ฮ่วยยย ญี่ปุ่นวี้ดว้ายกันใหญ่ แต่เรานี่สิ แง่งงงงงง

เสร็จจาก ดูบาร์ สแควร์ เราก้อไปสถานีขนส่งเพื่อไปขึ้นรถบัส ไปลุมพินี รถออก ทุ่มครึ่ง แต่อึ้งนะ เพราะผู้ชายที่นี่เยอะมากกกกกกกกก เราแทบไม่เห็นผู้หญิงเลย ใจกลัวๆ เหมือนกันนะ เพราะไม่รู้ว่าระหว่างเดินทางไปลุมพินี เราต้องใช้เวลาในรถทั้งคืน แต่ระหว่างรถออก 
เราว่าไปหาอะไรหร่อยๆ กินดีกว่า



เราหาไรรองท้องกันแถวนั้้น ได้ร้านนี้ ดูท่าสะอาดพอใช้ สั่งมา สองอย่าง ราคาไม่แพงมากมี ผัดหมี่ใส่ไก่ มันๆ แต่อร่อยดีแฮะ และก้อ โมโม่ อาหารเนปาล ใส้เนื้อควาย เราสั่งมากิน ขำ ๆ แต่กินไม่หมดหรอก มันคาวๆ ฉุน ๆ เครื่องเทศ ก้อเลยพักก่อน เพราะเดินทางบนรถไม่มีห้องน้ำ กลัวจู้ดๆ อิอิอิอิ แต่ผัดหมี่ร้อนๆ ก่อพอใช้ได้ แต่ก้อรู้ไม่สินะ หมดเหมือนกันอ่าาาาา


และแล้วก้อได้เวลารถออก สถาพรถก้อเป็นอย่างที่เห็น สุดๆ ละ กับทางของเนปาล ไส้ปอดตับคงระบมไปหลายวัน ฝุ่นก้อเยอะ หนาวก้อหนาว นั่งรถบัสวันนี้ เรื่องเยอะมาก ดุสิ ขนาดเราปิดบังใบหน้าเราขนาดนี้ ยังไม่วายโดนลวนลามจากผู้ชายขี้เมาที่ดึกๆ มานอนตรงพื้น แล้วทำเป็นเปะปะมือมาจับตูด จนเราทนไม่ไหว เลยเอื้อมมือไปตบหัว๑ ที แล้วตะโกนถามว่า มีปัญหาอะไร มันทำเป็นนอนเงียบ จนผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเข้ามาถามไถ่ เราเลยเล่าให้ฟัง เขาเลยบอกว่า ถ้าไอ้คนนี้มันแต๊ะอั๋งเราอีกที ให้บอกเขา ไอ้นั่นมันทำเป็นนอนกรนเลย แต่ก้อได้ผล เพราะมันไม่รุงรังอีกเลย อิอิอิอิ สวยบาดใจชายก้อเป็นเยี่ยงนี้อ่ะเนอะ ๕๕๕๕๕๕๕๕ จนในที่สุด ก้อง่องแง่กไปจนถึงลุมพินีในตอนเช้ามืดดดดด
 หมอกลงจัด หนาวโครต โครต



กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด 
ในที่สุด และ ในที่สุด โชคชะตาก้อชักนำเรามาถึงที่นี่จนได้ สาธุ สาธุ ชาตินี้ลูกมีความสมหวังและความสุขที่สุดครั้งนึงในชีวิต จะด้วยอะไรก้อแล้วแต่ที่ชักนำเรามา เราอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าน้อยนะว่า หากเรามีบุญวาสนาจริง ก้อขอให้มาได้ร่วมพิธีอัญเชิญและกฐินพระราชทานอย่างไม่มีติดขัด
แต่ประการใด สาธุ สาธุ


เรามาถึึงก้อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ได้ข้าวต้มร้อนๆตอนเช้าๆ ฝีมือแม่ชี อร่อยมากมาย คิดถึงอาหารไทยเหลือเกินได้มาทานที่ลุมพินีนี่เอง อิอิอิ ตอนนี้คณะของคุณหญิงไปทำพิธีที่ลานเสาหินอโศกเพื่อลงเสาเอกที่เอาไว้ประดิษฐานพระพุทธเจ้าน้อย แต่เรารอตั้งขบวนทีวัดลุมพินีดีกว่า ระหว่างที่รอขบวนของคุณหญิงมา เราก้อไปถ่ายรูปคุยกับหลวงพ่อ หลวงพี่ไปตามประสา มีลูกนิมิตด้วย ซืึ่งคงจะได้ฤกษ์ลงหลุมในปีหน้า เราเข้าไปดูในโบสถ์ มีกฐินพระราชทานของในหลวงตั้งอยู่ 
ก้มกราบขออนุโมทนา เป็นบุญของเราเหลือเกิน



คณะของคุณหญิงมาแล้วพวกเราทั้งหมดทั้งไทย ทั้งเนปาล พระ ชี วัดพม่า พุทธเหมือนกัน อิอิอิ ก้อตั้งขบวนแห่จากหน้าวัดไปเข้าวัดเพื่ออัญเชิญกฐินพระราชทาน ระหว่างนั้นก้อร้องรำ เล่นดนตรี 
เต้นกันไป มีช้างมานำขบวน ซึ่งดีเจมดดำ ก็ขึ้นขี่ช้างนำหน้าเข้าวัดไปเหมือนกัน อิอิอิอิ




หลังจากทำพิธี ทอดกฐิน ซึ่งได้เงินทำบุญ ทั้งหมด 808888 บาท เลขสวย มั่ก มาก อิอิอิ คณะแต่ละคณะ ต่างก้อทยอยกลับ บางคณะก้อแยกไปอินเดียต่อ บางคณะก้อแยกกลับไปกาฐมันดุ แต่เรานั่ง
รถบัสกลับเหมือนเดิม อิอิอิ ในช่วงเย็น นัดรถตุ้กตุ้กมารับ ไปท่ารับตอน ๔ โมงเย็น เลยเสร็จจากพิธีแล้ว ในตอนบ่าย เราก้อเดินไปยังที่ที่พระพุทธเจ้าประสูติ ไปที่เสาหินอโศกมหาราช ซึ่ง วัดไทยลุมพินี (อังกฤษ: Royal Thai Monastery Lumbini Nepal) เป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศเนปาล ที่ตั้งอยู่ภายในปริมณฑลสังเวชนียสถานเขตลุมพินีวัน บริเวณสถานที่ประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางเขตตะวันตกสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ใกล้กับชายแดนประเทศอินเดีย


ลุมพินีวัน (อังกฤษ: Lumbini) เป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 1 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศอินเดีย ลุมพินีวัน เดิมเป็นสวนป่าสาธารณะหรือวโนทยานที่ร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน ในสมัยพุทธกาลลุมพินีวันตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ในแคว้นสักกะ บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างเสาหินขนาดใหญ่มาปักไว้ตรงบริเวณที่ประสูติ เรียกว่า เสาอโศก 
ที่จารึกข้อความเป็นอักษรพราหมีว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่ตรงนี้[1]
ปัจจุบันลุมพินีวันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนประเทศอินเดียทางเหนือเมืองโคราฆปุระ ห่างจากเมืองติเลาราโกต (หรือ นครกบิลพัสดุ์) ทางทิศตะวันออก 11 กิโลเมตร และห่างจากสิทธารถนคร[2] (หรือ นครเทวทหะ) ทางทิศตะวันตก 11 กิโลเมตร ซึ่งถูกต้องตามตำราพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่าลุมพินีวันสถานที่ประสูติ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ ปัจจุบัน ลุมพินีวันมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ ทางการเรียกสถานที่นี้ว่า รุมมินเด มีสภาพเป็นชนบท มีผู้อาศัยอยู่ไม่มาก มีสิ่งปลูกสร้างเป็นพุทธสถานเพียงเล็กน้อย แต่มีวัดพุทธอยู่ในบริเวณนี้หลายวัด รวมทั้งวัดไทยลุมพินี ลุมพินีวันได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก 
ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540[3]
ปัจจุบัน ลุมพินีวันได้รับการบูรณะและมีถาวรวัตถุสำคัญที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะ คือ "เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช" ที่ระบุว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ นอกจากนี้ ยังมี "วิหารมายาเทวี" ภายในประดิษฐานภาพหินแกะสลักพระรูปพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรส โดยเป็นวิหารเก่ามีอายุร่วมสมัยกับเสาหินพระเจ้าอโศก ปัจจุบัน ทางการเนปาลได้สร้างวิหารใหม่ทับวิหารมายาเทวีหลังเก่า และได้ขุดค้นพบศิลาจารึกรูปคล้ายรอยเท้า สันนิษฐานว่าเป็นจารึกรอยเท้าก้าวที่เจ็ดของเจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงดำเนินได้เจ็ดก้าวในวันประสูติ
เป็นประวัติคร่าว ๆ นะคะ ซึ่งก๊อปมาจากวิกิพีเดีย มาเป็นข้อมูลเบื้องต้น แต่ถ้าจะให้ลึกกว่านี้ คงต้องไปค้นกันเองนะคะ เพราะประวัติศาสตร์บางทีกวางก้อไม่ค่อยกระดิกเท่าไร อิอิ



ก้อใช้เวลากันไปที่ลุมพินี รถตุ้กตุ้กมารับไปท่ารถบัส เราก้อไปนั่่งรอ ขากลับนี่ก้อนั่งกันยาว ไปจนถึงกาฐมันดุ แต่งวดนี้เวลาดีเหลือกเกิน เรามาถึงกาฐมันดุในตอนตี ๔ ตี ๕ หนาวสุโค่ยเลยยยยย งัวขี้หูขี้ตาตื่นลงมาจากรถ ก้อไปหารถแท้กซี่ ต่อรองกันไปกันมาได้ในราคา ๓๕๐ รูปี ไปส่งถึงโรงแรม ไอ้หนุ่มคนขับก้อพาหลงไปหลงมา ไม่ถึงสักที สงสารมันเลยให้ติ้้ปไป ๒๐ รูปี อิอิอิ น้อยไปหน่อย แต่เห็นมันโทรศัพท์ถามทางไป ก้อเลยอดสงสารไม่ได้ ขอเข้าเช็คอินไวหน่อย อิอิอิ หลับกันเป็นตายเลย เหนื่อยมากๆ กับการนั่งรถ คุณยาที่เราเห้นบอบบางนั้น แท้จริงเธอช่างแข็งแกร่งนัก
 ยกนิ้วให้เลย ๕๕๕๕๕๕๕๕




หลังจากหลับกันได้ทีี่ ตื่นมาบ่ายๆ ได้เวลาไปหาไรกิน โรงแรมที่เราพักใหม่นั้น ชื่อว่า ลิลลี่ โฮเท็ล ๗๐๐ กว่าบาท จองผ่านอโกด้า ห้องสภาพงั้้นๆ ห้องน้ำอีก แม่เจ้าโว้ย แพงได้ใจเจงๆๆๆ แต่สภาพ เอาเป็นว่าพอทน เพราะมันดีตรงที่อยู่ในใจกลางทาเมลเลย ใกล้ร้านขนมปังชื่อดังด้วย รสชาติงั้น ๆ แต่ที่นิยมเพราะว่า มันจะเซลล์ครึ่งๆ เลยหลังจากสามทุ่ม ฝรั่งนิยมไปรอของถูกกัน อิอิอิ แต่เราไม่รอเพราะเราไม่ชอบหนมปัง เลยเดินไปหาอาหารกิน เจอร้านญี่ปุ่น คุณยาสั่งราเม็งมา นึกว่าจะชามเล็กๆ แต่ที่ไหนได้ แต่เราไม่ชอบราเม็ง เลยสั่งอาหารแขกมาซะเลย 

หลังจากท้องอิ่ม ก้อเดินช๊อปเบาๆ เพราะนี่คงเป็นคืนสุดท้ายแล้ว ที่เราจะใช้เวลาที่นี่ เวลาผ่านไปไวจังเลย เรามีความสุขมากๆ จนไม่อยากจากเนปาลกลับมาเลย แต่อ่ะนะ ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความทรงจำจะอยู่กับเราตลอดไป แต่เลือกจำหน่อยนะ 


เราเดินอ้อยอิ่งกันในย่านทาเมลจนมืดค่ำ ก่อนที่ร้านต่างๆ จะะทยอยปิดเพราะ รัฐบาลที่นี่เขาจะดับไฟ กันเป็นเวลา เราได้กางเกง สร้อย อย่างละนิดละหน่อย และผ้าคลุมไหล่แคชเมียร์มา ๒ ผืน ต่อกันสะบั้นหั่นแหละ จนอาจจะเปลี่ยนใหม่ได้ว่า ถ้าเจองูกะเจอแขก ต้องตีศกุนตลาก่อน อิอิอิ เพราะเราต่อราคาจนแขกค้อนเลย ๕๕๕๕๕ ชอบอ่าาาา เนปาลลลล



เราตื่นสายๆ สบายๆ อาบน้ำ เก็บกระเป๋าเดินทางและของฝาก รู้สึกกระเป๋าจะหนักมากกว่าขามา 
เป้อับๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประสบการณ์ คงไม่อาจจะเอ่ยเป็นคำใดออกมา เราสบตากับคุณยาอย่างรู้ในความหมาย ลงมากินข้าวเช้าที่โรงแรม ซึ่งห้องอาหารอยู่ชั้นล่าง ดูราคาก้อไม่แพงนัก แต่อาหารเช้ามีในบริการที่เราจองห้องพักอยู่แล้ว เราสั่งเป็นอาหารเนปาลี ซึ่งก้อเป็นแบบ แกงกะหรี่ผัก 
กับโรตีทอด หรือ นาน แบบ อินเดีย เรากินกันอย่างอร่อยเพราะคงเป็นอาหารเนปาลมื้อท้ายสุด
สำหรับวันนี้ ก่อนที่เราจะจากที่นั่นมา 


เราออกจากโรงแรม แต่คุณยาขอไปซื้อชาเนปาลเพื่อไปฝากเจ้านาย เราจึงแบกเป้เดินไปในทาเมลใกล้ๆ อีกครั้ง ซื้อเสร็จก้อหารถแท้กซี่ ไปส่งสนามบิน แต่ก่อนจะไปเช็คอินนั้น ก้อต้องแวะกลับไป 
ดูบาร์แสควร์อีกครั้งในวันที่ ๒๗ พย ๕๕ อิอิอิอิ กดราคาซะคนขับแท้กซี่ร้อง อิอิอิ
เพราะต้องรอเราที่รถ จนกว่าเราจะออกมาแล้วไป สนามบินต่อ ในราคา ๖๐๐ รูปี 



เรากลับดูบาร์สแควร์ อีกครั้ง อยากจะสูดลมหายใจเอากลิ่นอายของที่นี่เข้าไปให้เต็มปอด แต่ติดที่ฝุ่นดูจะเยอะเหลือเกิน เลยต้องทำใจ ไว้กลับไปทำมิวสิคบนเครื่องดีกว่า ๕๕๕๕๕ เก็บภาพเป็นที่ระลึก เจอสาวน้อยมารับจ้างเพ้นท์เฮนน่า เลยอุดหนุนเธอไป คนละ ๑ ดอลล่า อิอิอิ ก่อนจะกลับไปขึ้นเครื่อง
เรารู้นะว่า สักวันเราต้องกลับมาที่นี่อีก ความรู้สึกมันบอกเราเช่นนั้น
 เหมือนมีอะไรมาเชื่อมต่อเรากับเนปาลเอาไว้ แม้อาจจะไม่เหนียวแน่น 
แต่มันก้อแข็งแรงพอที่จะดึงเรากลับไปอีก ............... ในสักวัน เชื่อเราไหม



และทริปนี้ เราปิดท้ายกันด้วยมาเลเซียแบบเบาๆ เพราะไปถึงมาเลก้อเกือบ ๕ ทุ่ม กว่าจะเข้าไปกัวลาลัมเปอร์อีก นอนที่ พาราไดซ์ โฮสเทลกัน ๑ คืน ขำ ขำ แล้วก้อนั่งโมโนเรล ไปซูเรีย ไปดูตึกแฝด ก่อนจะช๊อปปิ้งกัน ขำๆ ในห้าง ได้รองเท้ามาอิอิอิ หิ้วกันสู้ตาย แล้วกลับมาที่สนามบิน LCCT 
มาถึงดอนเมืองตอน สามทุ่ม กว่าๆ เครื่องดีเลย์ ถึงแล้ว เราก้อต้องรีบบึ่งไปหมอชิตทันที 
เพราะรถกลับพิดโลก หมด สี่ทุ่มครึ่ง ฉิวเฉียด เพราะเดินมาขึ้นแท้กซี่ หน้า ถนนเลย
 เพราะขืนรอเข้าคิวข้างใน โน่นแหละ เช้าล่ะมั้้ง กว่าจะได้คิว 



แล้วคุณล่ะ รู้สึกแบบเราหรือป่าววว
จะเสียดายเหมือนเราไหม ถ้าชีวิตนี้ไม่ได้ไปเนปาล ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,






สัญญานะ ว่าสักวันเราจะกลับไป......................................



ฝากเพจด้วยนะคะ ดอกไม้ทะเลทราย ไว้เล่ารื่องราวต่างๆ เสมือนเราออกเดินทางไปด้วยกัน